ยุวกษัตริย์ พระผู้อยู่ในใจไทยตลอดกาล เสด็จสู่สยามประเทศครั้งแรก เฉลิมเกียรติพระบารมี 100 ปี พระอัฐมรามาธิบดินทรราชา

ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัติสยามครั้งแรกตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จของรัฐบาล พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระอนุชา เสด็จออกจากเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทางรถไฟ มาประทับเรือเดินสมุทรเมโอเนียขึ้นฝั่งพักที่เมืองปีนัง และออกเดินทางต่อมาที่เกาะสีชัง จากนั้นทรงเปลี่ยนมาประทับเรือหลวงศรีอยุธยา ซึ่งรัฐบาลจัดถวายให้เป็นเรือพระที่นั่งไปรับเสด็จจากเกาะสีชังมายังท่าราชวรดิฐ รวมระยะเวลา ๒๕ วัน ในการเสด็จพระราชดำเนินจากเมืองโลซานน์มาสู่พระนคร

ณ ท่าราชวรดิฐ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ข้าราชการ และอาณาประชาราษฎร ต่างมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จอย่างล้นหลาม แม้ยังไม่ทันจะได้เห็นพระองค์จริงเพียงแค่เห็นธงมหาราชเหลืองอร่ามโบกสะบัดอยู่บนเสากระโดงเรือประชาชนต่างก็ปลื้มปีติ บางคนถึงกับน้ำตาไหล เพราะนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนิราศจากราชอาณาจักร ก็ไม่มีใครได้เห็นธงมหาราชโบกสะบัดอยู่ที่ใดอีกเลย ยิ่งเมื่อประชาชนได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อย พระชนมพรรษาเพียง ๑๓ พรรษา ทรงงามพร้อมทั้งพระรูปโฉม พระวาจา พระอิริยาบถ สมกับที่ทรงเป็นพระมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยโดยแท้

ครั้งนั้น พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลรับเสด็จในนามคณะรัฐมนตรี พระองค์มีพระราชปฏิสันถารตอบ ความว่า “ข้าพเจ้ายินดีมากที่ได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยที่ข้าพเจ้ารักและคิดถึงอยู่เสมอ ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายที่ได้มาต้อนรับข้าพเจ้า และขอให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขในความร่มเย็นของรัฐธรรมนูญทั่วกัน”

เมื่อเสร็จจากพิธีรับเสด็จ ณ ท่าราชวรดิฐแล้ว พระองค์ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถวายบังคมพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และเสด็จไปทรงบูชาพระสยามเทวาธิราช ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ระหว่างที่เสด็จโดยกระบวนรถม้าพระที่นั่งจากพระบรมหาราชวังไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนินอย่างเนืองแน่น วันรุ่งขึ้นรัฐบาลจัดพระราชพิธีสมโภช ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยตามราชประเพณี

แม้การเสด็จเยี่ยมราชอาณาจักรครั้งนี้จำกัดด้วยระยะเวลาอันสั้น ด้วยยังต้องเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ เมืองโลซานน์ แต่ในช่วงเวลานั้น นอกจากพระราชกรณียกิจอันเกี่ยวกับการพระราชพิธี และการส่วนพระองค์แล้ว ยังได้ทรงปราศรัยกับประชาชนทั้งทางเครื่องกระจายเสียงและทรงปราศรัยต่อตัวบุคคล ทั้งมีพระราชอุตสาหะเสด็จเยี่ยมราษฎรทั้งในพระนครและตามจังหวัดใกล้เคียง อาทิ เสด็จงานฉลองรัฐธรรมนูญ ทรงเปิดโรงพยาบาลอานันทมหิดล เสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสถานเสาวภา พระราชทานทุนทรัพย์ให้โรงพยาบาลจังหวัดลพบุรี พระราชทานทุนทรัพย์ให้โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชทานธงประจำกองแก่ยุวชนทหาร เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในอารามที่สำคัญ เสด็จไปเยี่ยมสถานที่ราชการ ทอดพระเนตรการประกอบอาชีพ เช่น ทำนา จับปลา หัตถกรรม และอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ในการเสด็จนิวัติสยามครั้งนี้ ราษฎรได้ชื่นชมพระบารมียุวกษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยพระราชจริยวัตรอันงดงาม ทำให้แช่มชื่นมีขวัญกำลังใจเพิ่มพูนและเกิดความผูกพันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถอย่างสูงของสมเด็จพระบรมราชชนนี ว่าทรงเป็นผู้ถวายอภิบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มีความพร้อมในการเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ยิ่ง จึงประกาศเฉลิมพระนามเป็น “พระราชชนนีศรีสังวาลย์” และต่อมาทรงได้รับสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” โดยลำดับ

ราษฎรได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทชื่นชมพระบารมีเพียง ๕๙ วัน พระองค์จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับพระองค์มีกระแสพระราชดำรัสทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ทรงขอบใจรัฐบาลและพสกนิกรที่ต้อนรับพระองค์อย่างดียิ่ง พร้อมทั้งทรงแสดงความห่วงใยประเทศชาติ ดังความตอนหนึ่งว่า “…ข้าพเจ้าจะตั้งใจเรียนจนสำเร็จ เพื่อจะได้กลับมาสนองคุณชาติที่รักของเรา การที่ข้าพเจ้าจะลาท่านไปนี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านทั้งหลายมีความสุขความเจริญทั่วกัน…”

ที่มา : ๑. หนังสือ เจ้านายเล็กๆ – ยุวกษัตริย์ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
๒. หนังสือที่ระลึกอนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอก สำราญ แพทยกุล องคมนตรี โดยมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์